วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีรักษาขอบตาดำ "เพื่อใบหน้าที่สดใส"

วิธีรักษาขอบตาดำ


สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำแล้วลองหันไปมองญาติพี่น้องพ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้จะพบว่า เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไปและเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีมซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อย ๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้นเพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ


วิธีรักษาขอบตาดำ
ถ้าไม่ใจร้อนรักษาแบบได้ผลช้า ๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้นและได้ผลเร็ว ๆ การรักษาด้วยเลเซอร์หรือเครื่องแสงเข้มข้นเป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ดและสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาดำคล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้นคล้ายกับเลเซอร์แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนานและถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีนอนหลับไม่เพียงพอไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

..3 อาหารเช้า เพิ่มพลังสมอง..

                                                          แซนวิสทูน่า

3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า
ทีมนักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่าทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 2 โยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดอกไม้ประจำวันเกิด

                                                         

เกิดวันอาทิตย์

ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม
ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์
คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย
                                                         

เกิดวันจันทร์

ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี
ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชนิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน
                                                          
เกิดวันอังคาร

ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้
                                                           

เกิดวันพุธ

ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรักสันติภาพ
ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชนิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน

                                                            
 
เกิดวันพฤหัสบดี

ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ

                                                              

เกิดวันศุกร์

ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน
ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอเลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง

                                                                

เกิดวันเสาร์

จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด
ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผลการศึกษาระบุ จำนวนประชากรโลกจะทะลุ 7 พันล้านภายในปีนี้

                    






ประชากรโลกจะมีจำนวนถึง 7,000 ล้านคนในปีนี้
เอเอฟพี - ผลการศึกษาของสถาบันประชากรศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศสเผย จำนวนประชากรโลกจะแตะหลัก 7,000 ล้านคนภายในปีนี้ จากตัวเลขประชาชนในแอฟริกาที่เพิ่มขึ้น ชดเชยอัตราการเกิดที่ลดลงในประเทศอื่นๆ และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสถียร ที่ระหว่าง 9,000-10,000 ล้านคนทั่วโลก ภายในสิ้นศตวรรษนี้
ความแตกต่างระหว่างอัตราการเกิด และการตายทั่วโลก ดึงตัวเลขประชากรให้เพิ่มขึ้นร่วม 1,000 ล้านคนอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 12 ปี จากจำนวนประชากรที่มีการประเมินไว้ในปี 1999 ประมาณ 6,000 ล้านคน
สถาบันไอเอ็นอีดีคาดว่า จำนวนประชากรโลกจะมีตัวเลขถึง 8 พันล้านคนในอีก 14 ปีข้างหน้า ก่อนที่ตัวเลขจะเริ่มรักษาระดับคงที่ ตามผลการศึกษา ซึ่งรวบรวมจากงานวิจัย ที่ทำขึ้นโดยสหประชาชาติ เวิลด์แบงก์ และสถาบันระดับชาติใหญ่ๆ อีกหลายแห่ง
รายงานฉบับนี้ระบุว่า การเติบโตของจำนวนประชากรโลกพุ่งสูงขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าของเมื่อ 200 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งจะขึ้นไปถึง 7,000 ล้านคนในปี 2011 และคาดว่าจะทะลุ 9,000-10,000 ล้านภายในสิ้นศตวรรษที่ 21
ทั้งนี้ จำนวนประชากรครึ่งหนึ่งของโลกอยู่ใน 7 ประเทศเท่านั้น ทำให้การเปลี่ยนแปลงในประเทศเหล่านี้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตัวเลขประชากรโลก โดยจีนอยู่ในอันดับสูงสุด กว่า 1.33 พันล้านคน อินเดียอีก 1.17 พันล้านคน ส่วนอีก 5 ประเทศได้แก่ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย บราซิล ปากีสถาน และไนจีเรีย
ไอเอ็นอีดียังประเมินว่า นับตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงปี 2050 อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลปักกิ่ง ที่ให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้ 1 คน เพื่อลดจำนวนประชากรชาวจีน
ขณะที่ตัวเลขโดยรวมยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่อัตราการเพิ่มขึ้นนั้นลดลงแล้ว ตามรายงานของสถาบันประชากรศาสตร์แห่งนี้ โดยในปี 2011 อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรอยู่ที่ 1.1% ซึ่งตกลงจาก 2% เมื่อ 50 ปีก่อน
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากอัตราการเกิดชะลอตัว โดยในผู้หญิง 1 คนมีลูก 2.5 คน ลดลงถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลขที่มีการบันทึกไว้ในปี 1950 ทว่า ในแต่ละพื้นที่ก็มีตัวเลขแตกต่างกันมาก โดยในแอฟริกา เฉลี่ยหญิง 1 คนมีลูก 4.7 คน แต่ในยุโรปอยู่ที่ 1.6 คนเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มารี กูรี




มารี กูรี (อังกฤษ: Marie Curie) เดิมชื่อ มารืออา ซกวอดอฟสกา (โปแลนด์: Marya Skłodowska) (7 พฤศจิกายน 2410 - 4 กรกฎาคม2477) นักเคมีผู้ค้นพบรังสีเรเดียม ที่ใช้ยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีอัตราการตายของคนไข้เป็นอันดับหนึ่งมาทุกยุคสมัย ด้วยผลงานที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติเหล่านี้ ทำให้มารี กูรีได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งด้วยกัน

มารี เป็นชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410 ที่เมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศโปแลนด์[1] บิดาเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องทดลองเสมอ จึงทำให้เธอสนใจวิชาด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อรัสเซียมาปกครองโปแลนด์ และบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาทางการก็ตาม

ในสมัยนั้นค่านิยมในสังคมของผู้หญิงส่วนใหญ่ จะต้องเรียนการเป็นแม่บ้าน ซึ่ง มารี กูรี่ แตกต่างโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์
หลังจบการศึกษาระดับต้นแล้ว เธอกับพี่สาวก็ทำงานด้วยการเป็นครูอนุบาล สอนหนังสือให้กับเด็กๆ แถวๆ นั้น โดยทั้งสองมุ่งหวังอยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย เธอจึงให้พี่สาวคือ บรอนยา ไปเรียนต่อด้านแพทย์ศาสตร์ก่อน พอจบแล้วค่อยส่งเสียเธอเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป จนพี่สาวจบมาเธอก็ได้ไปเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยปารีส สมใจแต่ด้วยเงินอันน้อยนิดจากพี่สาว ไม่พอต่อค่าใช้จ่ายเธอจึงดิ้นรนหางานทำ จนได้เป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมี ของ ปิแอร์ กูรี จนทั้งสองแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่ ปิแอร์ เสียชีวิตก่อนเพราะอุบัติเหตุรถม้าชน ระหว่างที่เรียนไปทำงานไป เธอก็มุ่งมั่นศึกษาทดลองไปเรื่อยๆ จนมาพบรังสีแร่ธาตุเรเดียม โดยได้มาจากแร่พิทช์เบลนที่เป็นออกไซต์ชนิดหนึ่งสามารถแผ่รังสีได้ จากการเพียรพยายามทดลองมาหลายปีในการสกัดแร่ชนิดต่างๆ จนมาพบรังสีดังกล่าวทำให้เธอได้รับปริญญาเอก ในการค้นพบแร่ธาตุเรเดียม
จนในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) เธอก็สามารถสกัดแร่เรเดียมให้บริสุทธิ์ได้ เรียกว่า เรเดียมคลอไรด์ ที่สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมถึง 2,000,000 เท่า มีคุณสมบัติคือ ให้แสงสว่าง และความร้อนได้ และเมื่อแร่นี้แผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตรังสี และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับแร่เรเดียม จนทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลต่อมา
มารี กูรี
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแร่เรเดียมอย่างหนัก และต่อเนื่องกว่า 4 ปี ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง แม้สามีจะเสียชีวิตก็ตาม ด้วยกำลังใจอันล้นเปี่ยม เมื่อเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งผู้คนส่วนมากล้มตายและถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เธอจึงอาสาสมัครเป็นอาสากาชาดเพื่อช่วยทหารที่บาดเจ็บ ในการเอกซเรย์เคลื่อนที่ตระเวนรักษาตามหน่วยต่างๆ จนสงครามสงบเธอก็กลับมาทำงาน แต่ก็ต้องล้มป่วยเพราะผลมาจากการทำงานหนัก และโดนรังสีเรเดียม ทำให้ไขกระดูกถูกทำลายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา[2]
อนึ่ง มารี กูรี่ สามารถจดสิทธิบัตรได้ และทำให้เธอเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่เธอกลับเลือกที่จะมอบสื่งที่เธอค้นพบให้กับโลก ทำให้เธอและครอบครัวเป็นเพียงครอบครัวนักวิทยาศาสตร์จนๆ ตลอดจนเสียชีวิต
หลังการเสียชีวิตของ มารี กูรี หนึ่งในลูกสาวของเธอ ก็ได้ทำการค้นคว้างานวิจัยของเธอต่อไป จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

น้ำส้ม

                                                                     น้ำส้ม

ส่วนผสม


- ส้มเขียวหวาน 220 กรัม(3ผลขนาดกลาง )

- เกลือป่นผสมไอโอดีน 1 กรัม(1/5 ช้อนชา)

วิธีทำ

นำส้มมาล้างเปลือกให้สะอาด ใช้มีดผ่าขวางลูก คั้นเอาแต่น้ำเติมเกลือ ตักเอาเมล็ดออก ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ

คุณค่าทางอาหาร : มีวิตามินเอมากช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและวิตามินซี ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

คุณค่าทางยา : ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

เนลสัน มันเดลา

                                                          เนลสัน มันเดลา

เนลสัน โรลิฮฺลาฮฺลา มันเดลา (อังกฤษ: Nelson Rolihlahla Mandela; สำเนียงภาษาคโฮซา: [xoˈliɬaɬa manˈdeːla]) เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ที่เมืองทรานส์คีย์ ประเทศแอฟริกาใต้[1] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2537-2542 และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งนี้นี้ เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ เช่น มากาเรท เท็ตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย


เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการถูกคุมขังในห้องขังเล็ก ๆ บนเกาะร็อบเบิน การถูกคุมขังนี้ได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายแยกคนต่างผิวที่ถูกกล่าวถึงไปทั่ว เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2533 นโยบายประสานไมตรีที่เนลสันได้นำมาใช้ทำให้แอฟริกาใต้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งประชาธิปไตย ในขณะนี้ เนลสัน มันเดลา มีอายุกว่า 90 ปีแล้ว เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันจะขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลมันเดลาอย่างให้เกียรติว่า มาดิบา แต่มักเจาะจงหมายถึงเนลสัน มันเดลาเท่านั้น

เนลสัน มันเดลา ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2536

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

พี่น้องตระกูลกริมม์

                                                   

พี่น้องตระกูลกริมม์ (อังกฤษ: The Brothers Grimm; เยอรมัน: Die Gebrüder Grimm) หรือ ยาค็อบ กริมม์ (ค.ศ. 1785-1863) และวิลเฮล์ม กริมม์ (ค.ศ. 1786-1859) นักวิชาการชาวเยอรมันซึ่งเป็นที่รู้จักโด่งดังจากผลงานการรวบรวมนิทานพื้นบ้านและเทพนิยาย รวมถึงผลงานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา (กฎของกริมม์ หรือ Grimm's Law) นับว่าเป็นนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคู่หนึ่งในยุโรป ซึ่งทำให้เทพนิยายมากมายแพร่หลายไปทั่วโลก เช่น รัมเพลสทิลสกิน, สโนไวท์, ราพันเซล, ซินเดอเรลล่า และ แฮนเซลกับเกรเธล

ประวัติ

เจค็อบ ลุดวิจ กริมม์ และ วิลเฮล์ม คาร์ล กริมม์ เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1785 และ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1786 ตามลำดับ ที่เมืองฮาเนา ใกล้กับเมืองแฟรงค์เฟิร์ต แคว้นเฮสเซน พวกเขามีพี่น้องทั้งหมด 9 คน แต่มีชีวิตรอดเติบโตมาเพียง 6 คน[1] ชีวิตในวัยเด็กของพวกเขาอยู่ในแถบชนบทอันงดงามร่มรื่น ครอบครัวกริมม์พำนักอยู่ใกล้คฤหาสน์ของเจ้าผู้ครองแคว้นระหว่างช่วงปี 1790-1796 เนื่องจากบิดาของพวกเขาเป็นลูกจ้างของเจ้าชายแห่งเฮสเซน



เมื่อเจค็อบซึ่งเป็นบุตรคนโตอายุได้ 11 ปี บิดาของพวกเขาคือ ฟิลิป วิลเฮล์ม ก็ถึงแก่กรรม ครอบครัวจึงต้องย้ายไปอาศัยในบ้านเล็กๆ คับแคบในตัวเมือง[1] สองปีต่อมา ปู่ของพวกเขาก็เสียชีวิต จึงคงเหลือแต่แม่เพียงคนเดียวที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพและเลี้ยงดูเด็กๆ ยังเป็นข้อโต้แย้งอยู่ว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่พี่น้องกริมม์มักยกผู้เป็นบิดาไว้ไม่ให้มีความผิด ขณะที่ทรราชฝ่ายหญิงมักมีบทบาทสำคัญในนิทาน เช่นแม่เลี้ยงใจร้ายและพี่สาวทั้งสองในเรื่อง ซินเดอเรลล่า[2] แต่ผู้วิจารณ์คงจะลืมไปว่าพี่น้องกริมม์เป็นแต่เพียงผู้รวบรวมเทพนิยายเท่านั้น ไม่ใช่คนแต่งขึ้นมา


พี่น้องกริมม์ได้รับการศึกษาจาก Friedrichs-Gymnasium ใน Kassel และต่อมาได้เรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยมาร์เบิร์ก และที่นี่ ด้วยแรงบันดาลใจจาก ฟรีดดริค ฟอน ซาวินี (Friedrich von Savigny) ทำให้พี่น้องทั้งสองเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ทั้งคู่เพิ่งมีอายุยี่สิบต้นๆ ในขณะที่เริ่มศึกษาด้านภาษาศาสตร์ และวางกฎของกริมม์ รวมถึงรวบรวมเรื่องราวเทพนิยายและเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านจากที่ต่างๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างมาก อันที่จริงผลงานรวบรวมนิทานปรัมปราเหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคนทั้งสอง


ปี ค.ศ. 1808 มีบันทึกว่าเจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ในราชสำนักของกษัตริย์แห่ง Westphalia ปี ค.ศ. 1812 พี่น้องกริมม์ได้ตีพิมพ์ผลงานรวบรวมเทพนิยายของพวกเขาเป็นครั้งแรก ชื่อว่า Tales of Children and the Home ซึ่งพวกเขารวบรวมเรื่องราวมาจากชาวบ้านชนบท เรื่องบางส่วนก็ขัดแย้งกับที่มาของเรื่องอื่นๆ ที่ตีพิมพ์ในวัฒนธรรมอื่นและภาษาอื่น (เช่นงานของ ชาร์ลส์ แปร์โรลต์) พี่น้องกริมม์แบ่งงานกันทำ เจค็อบเน้นที่งานวิจัย ส่วนวิลเฮล์มทำหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราว นำมาประพันธ์ใหม่ในรูปแบบวรรณกรรมและเขียนบรรยายในลักษณะของนิทานเด็ก พี่น้องทั้งสองยังให้ความสนใจกับนิทานพื้นบ้านและประวัติศาสตร์กำเนิดของวรรณกรรม ปี ค.ศ. 1816 เจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ใน Kassel ส่วนวิลเฮล์มก็ได้งานที่นั่นเช่นกัน ระหว่าง ค.ศ. 1816 - 1818 ทั้งสองได้ตีพิมพ์ตำนานเยอรมันสองชุด และประวัติวรรณกรรมยุคต้นอีกหนึ่งชุด


ขณะที่พี่น้องกริมม์เริ่มสนใจในภาษาเก่าแก่และความสัมพันธ์ของภาษาเหล่านั้นกับภาษาเยอรมัน เจค็อบเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์และโครงสร้างของภาษาเยอรมันอย่างละเอียด ในเวลาต่อมา พวกเขาได้สรุปความสัมพันธ์ระหว่างคำต่างๆ และเรียกชื่อว่าเป็น กฎของกริมม์ โดยได้รวบรวมข้อมูลดิบไว้เป็นจำนวนมาก ปี ค.ศ. 1830 ทั้งสองได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งใน Göttingen หลังจากมีหน้าที่การงานมั่นคงในเมืองนั้น[3] เจค็อบได้เป็นศาสตราจารย์ และเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ในปี ค.ศ. 1830 ส่วนวิลเฮล์มได้เป็นศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1835


ปี ค.ศ. 1837 พี่น้องกริมม์ร่วมกับศาสตราจารย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัย Göttingen อีก 5 คน ร่วมกันคัดค้านการเพิกถอนรัฐธรรมนูญแห่งรัฐฮันโนเวอร์ของกษัตริย์ เออร์เนสต์ ออกัสตัส ที่หนึ่ง กลุ่มผู้คัดค้านนี้เป็นที่รู้จักต่อมาในชื่อ Die Göttinger Sieben (The Göttingen Seven) ทั้งหมดถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย และมี 3 คนที่ถูกเนรเทศ รวมถึงเจค็อบด้วย เจค็อบหนีไปอาศัยอยู่ใน Kassel ซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของกษัตริย์เออร์เนสต์ วิลเฮล์มติดตามไปสมทบภายหลัง โดยพำนักอยู่กับลุดวิจ น้องชายของพวกเขา ในปีต่อมาทั้งสองได้รับเชิญจากษัตริย์แห่งปรัสเซีย เชิญให้ไปพำนักอยู่ในเบอร์ลิน และทั้งสองก็ได้ย้ายไปยังเบอร์ลินนับแต่นั้น[4]


ช่วงปลายชีวิตของพวกเขาอุทิศให้กับการจัดทำพจนานุกรมภาษาเยอรมัน ตีพิมพ์ชุดแรกออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1854 และเป็นต้นแบบในการพัฒนาปรับปรุงเวอร์ชันต่างๆ ต่อมา เจค็อบครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตของเขา ส่วนวิลเฮล์มได้แต่งงานกับ เฮนเรียตเต โดโรเธีย ไวลด์ (Henriette Dorothea Wild หรือบางแห่งเรียกว่า Dortchen) เมื่อปี 1825 เธอเป็นบุตรีของเภสัชกรซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวกริมม์มาตั้งแต่เด็ก ที่ซึ่งพี่น้องกริมม์ได้ฟังนิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง เป็นครั้งแรก วิลเฮล์มมีบุตร 4 คนโดยเสียชีวิตตั้งแต่เด็กไป 1 คน แต่พี่น้องทั้งสองก็ยังสนิทกันมากแม้หลังจากที่วิลเฮล์มแต่งงานแล้วก็ตาม


วิลเฮล์มเสียชีวิตในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1859 เจค็อบยังคงทำงานรวบรวมพจนานุกรมและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิตในเบอร์ลินเช่นกัน เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1863 ร่างของทั้งสองฝังไว้ที่สุสาน St. Matthäus Kirchhof ใน Schöneberg ในเบอร์ลิน พี่น้องตระกูลกริมม์ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แพร่หลายกว้างขวางในเยอรมนี และได้รับความเคารพยกย่องเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในเยอรมนี ซึ่งต่อมาราชอาณาจักรปรัสเซียได้ก่อการปฏิวัติในช่วงปี 1848-1849 และเริ่มต้นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )

 สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน

กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )



สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว


การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z

วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน
สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19แท่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งเมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)


แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้อเท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น

แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย


วงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งออีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำมะนาว รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ .





น้ำมะนาว รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ ... หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้าน


ใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัย
สามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน
ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว
น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย

สูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้

1.ล้างหน้าให้สะอาด
2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป
3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง
4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)
5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)
-บรรเทาอาการท้องผูก
-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด
-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร
-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว
2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)
3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน


การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2
1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)
2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า
3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดอกมะลิ


ชื่อสามัญ                                Sambac 

ชื่อวิทยาศาสตร์                        Jasminum sambac. , Jusminum adenophyllum.

ตระกูล                                    OLEACEAE
ลักษณะทั่วไป
ุ์มะลิเป็นพรรณไม้ยืนต้น และเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก จนถึงขนาดกลางบางชนิดก็มีลำต้นแบบเถาเลื้อย ลำต้นมีความสูงประมาณ1-3 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีขาวมีสะเก็ดรอยแตกเล็กน้อย ลำต้นเล็กกลมแตกกิ่งก้านสาขาไปรอบ ๆ ลำต้น ใบเป็นใบเดียวแตกใบเรียงกันเป็นคู่ ๆ ามก้านและกิ่งลักษณะของใบมนป้อม โคนใบสอบเรียว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ขนาดใบกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ ออกตามส่วนยอดหรือตามง่ามใบดอกเล็กสีขาวมีกลีบดอกประมาณ 6-8 กลีบ เรียงกันเป็นวงกลมหรือซ้อนกันเป็นชั้นแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ขนาดดอกบานเต็มที่ประมาณ 2-3 เซนติเมตรผลเป็นรูปกลมรีเล็กเมื่อสุกจะมีสีดำภายในมีเมล็ดอยู่1เมล็ดนอกจากนี้ลักษณะของลำต้นและดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธ์

 พันธ์ดอกมะลิ

 มะลิลา เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดียวออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว ปลายกลีบมน ดอกสีขาว มะลิชนิดนี้ จะใช้ในการเด็ดดอกขาย



 มะลิลาซ้อน เป็นไม้พุ่มเลื้อย สูง 1-2 เมตร แตกกิ่งตำใต้ผิวดินจำนวนมาก เป็นพุ่มแน่น ปลายกิ่งตั้งขึ้น กิ่งเปราะ ใบเป็นใบเดี่ยว มักมี 3 ใบต่อหนึ่งข้อ เรียงตรงข้ามร ใบรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ 1-3 ดอก สีขาว ออกที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบจำนวนมาก ขอบกลีบเป็นคลื่น เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 3- 4 เซนติเมตร ดอกบานอยู่ได้หลายวัน มีกลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ออกดอกตลอดปี



 มะลิถอด ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบ รูปแบบของใบคล้ายมะลิลาซ้อน แต่ใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อมี 3 ดอก ดอกซ้อนมากชั้นกว่า คือ 3-6 ชั้น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอก 2.5-3.5 ซม.



 มะลิซ้อน เป็นไม้พุ่มเลื้อย สูง 1-2 เมตร แตกกิ่งตำใต้ผิวดินจำนวนมาก เป็นพุ่มแน่น ปลายกิ่งตั้งขึ้น กิ่งเปราะ ใบเป็นใบเดี่ยว มักมี 3 ใบต่อหนึ่งข้อ เรียงตรงข้ามร ใบรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ 1-3 ดอก สีขาว ออกที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบจำนวนมาก ขอบกลีบเป็นคลื่น เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 3- 4 เซนติเมตร ดอกบานอยู่ได้หลายวัน มีกลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ออกดอกตลอดปี

มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร ลักษณะต่าง ๆ คล้ายกับ 4 ชนิดแรก ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อ 3 ดอกดอกซ้อนเป็นชั้น ๆ เห็นได้ชัด (คล้ายฉัตร) และดอกมีขนาดเล็กพอ ๆ กับดอกพิกุล ขนาดดอก 1-1.4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอม

มะลิทะเล เป็นไม้รอเลื้อย ดอกเป็นกระจุก ๆ หนึ่ง มี 5-6 ดอก กลิ่นหอมฉุน

 มะลุลี มะลุลีเป็นพันธุ์ไม้สกุลเดียวกับมะลิอีกชนิดหนึ่งที่มีดอกหอม มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น มะลิพวง มะลิเลื้อย มะลิซ่อม เป็นไม้รอเลื้อยกระจายพันธุ์อยู่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขนเห็นเด่นชัดเช่นกัน ใบและรูปแบบตลอดจนการจัดเรียง คล้ายมะลิอื่น ๆ แต่ใบมีขนเห็นเด่นชัด เป็นใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายใบแหลม ใบดกมาก จะออกดอกมากเป็นพิเศษประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ จึงปลูกคลุมซุ้มไม้ได้ดี ดอกเป็นช่อ แน่นตามปลายกิ่งและซอกใบ มีสีขาว แต่ละช่อมีมากกว่า 10 ดอกขึ้นไป จึงเห็นเป็นช่อใหญ่สวยงาม มีขนนุ่มๆ โดยเฉพาะที่กลีบเลี้ยงซึ่งเป็นแฉกแหลมๆ ลักษณะของดอกคล้ายมะลิลา แต่กลีบแคบยาวและปลายแหลมกว่า ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 2.5-3 ซม. ใช้ทั้งช่อเป็นดอกไม้บูชาพระ กลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน คล้ายกลิ่นมะลิวัลย์

มะลิเลื้อย ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดินยาวประมาณ 1 ฟุต ใบเล็กกว่าพันธุ์อื่นมาก

มะลิวัลย์หรือมะลิป่า เป็นไม้เลื้อย ลำเถาเล็กเกลี้ยง ใบเดี่ยว รูปรี ปลายแหลม ออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ดอกเป็นช่อเล็กเพียง 1-2 ดอก ตรงซอกใบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 2-3 ซม. กลีบแคบและเรียวแหลม ดอกมีกลิ่นหอมแต่ร่วงเร็ว ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง หรือปักชำกิ่ง ปลูกตามซุ้ม หรือพันรั้วก็ได้ มะลิวัลย์ชนิดนี้มีลำเถายาวและเลื้อยพันได้เป็นระยะทางไกลๆ แต่ดอกไม่ดก จึงไม่เป็นที่สะดุดตาเหมือนมะลิป่าชนิดอื่นๆ

พุทธิชาติ เป็นไม้รอเลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวแต่ใบด้านล่างลดขนาดลงมากจนมีลักษณะคล้ายหูใบ ดอกเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่งและข้างกิ่ง ดอกสีขาว ปลายกลีบมน ก้านดอกยาว


 ปันหยี ต้นเป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับมะลิวัลย์ ใบเดี่ยว การออกของใบเช่นเดียวกันแต่ใบมีขนาดใหญ่กว่า ใบเป็นมันสีเขียวเข้มหนาและแข็ง ดอกเป็นดอกช่อ สีขาวกลีบดอกใหย่กว่ามะลิวัลย์ กลีบดอกกว้างและมน ดอกชั้นเดียว ขนาดดอก 4-4.5 ซม. กลิ่นไม่หอม
 เครือไส้ไก่ ไม้เถา ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือกลม ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอก โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5  แฉก สีขาว มีกลิ่นหอม ผลสด รูปทรงกลมหรือรี ผลสุกสีดำ
อ้อยแสนสวย เป็นไม้เลื้อย กิ่งอ่อนสีม่วงแดง ไม่มีขน กิ่งแก่สีน้ำตาล ใบเดี่ยว ขนาดใหญ่ก้านใบสีม่วง ดอกออกเป็นช่อมี 8 ดอก ดอกกลางบานก่อน ก้านดอกยาว กลีบดอกขาว ชั้นเดียวปลายกลีบมน


มะลิเขี้ยวงูเป็นไม้เลื้อย แตกกิ่งก้านมาก ไม่มีขน ใบออกเป็นช่อคล้ายใบแก้ว แต่บางกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอก ก้านดอกเป็นหลอดสีแดงอมม่วง กลีบดอกขาว กลิ่นหอมจัด
ประโยชน์
มะลินอกจากจะเก็บดอกมาร้อยเป็นพวงมาลัย ทำเป็นดอกไม้แห้ง หรือนำมาสกัดทำน้ำมันหอมระเหยแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง และในดอกมะลิมีส่วนที่เป็นน้ำมันอยู่ 0.2-0.3% ดอกมีรสเผ็ด หวาน ฤทธิ์อุ่น ส่วนรากมีรสขม ฤทธิ์อุ่น มีพิษ
ดอก   มีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วง ตาแดง
ราก    เป็นยาแก้ปวด ทำให้ชา ฟันผุ ฟกช้ำ นอนไม่หลั
สรรพคุณ
เยื่อตาขาวอักเสบ หรือตาแดง   : ดอกมะลิสดล้างให้สะอาด ต้มจนเดือด สักครู่ นำน้ำที่ได้ใช้ล้างตา
ปวดกระดูก ปวดกล้ามเอ็น       : รากมะลิสดทุบให้แหลกคั่วกับเหล้าจนร้อน ใช้พอกบริเวณที่ปวด
ปวดฟันผุ : รากมะลิตากแห้งบดเป็นผง ผสมกับไข่แดงที่ต้มสุกแล้วจนได้ยาเหนียวข้น ใส่ในรูฟันผุ
ข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ รากมะลิมีพิษ ไม่ควรใช้รับประทานหรืออาจใช้แต่น้อย เช่น ใช้รากมะลิสดไม่เกิน 1.5 กรัม ฝนกับน้ำใช้ดื่มแก้อาการนอนไม่หลับ
มะลิซ้อน    ดอกสด          ใช้รักษาโรคตาเจ็บ แก้ไข้ตัวร้อน แก้หวัด
               ดอกแห้ง         ใช้ปรุงเป็นสารแต่งกลิ่น
               ใบสด             นำมาตำให้ละเอียดจะช่วยรักษาแผลพุพองและแผลฝีดาษ
               ต้น               ใช้รักษาโรคคุดทะราด ขับเสมหะและนำมาฝนใช้แก้ปวด รักษาโรคร้อนในและอาการเสียดท้องหิต
               ราก               นำมาฝนใช้แก้ปวด รักษาโรคร้อนในและอาการเสียดท้อง
มะลิวัลย์     ราก               ใช้เป็นยาถอนพิษต่าง ๆ ได้ 


วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Croissant



A croissant (French pronunciation: [kʁwasɑ̃] ( listen), anglicised variously as /krəˈsɑːnt/, /kwɑːˈsɑːn/, etc.) is a buttery flaky bread named for its distinctive crescent shape. It is also sometimes called a crescent[1] or crescent roll.[2] Croissants are made of a leavened variant of puff pastry. The yeast dough is layered with butter, rolled and folded several times in succession, then rolled into a sheet, a technique called laminating.

Crescent-shaped food breads have been made since the Middle Ages, and crescent-shaped cakes (imitating the often-worshiped Moon) possibly since classical times,[3] but the modern croissant dates to 19th-century Paris.

Croissants have long been a staple of French bakeries and patisseries. In the late 1970s, the development of factory-made, frozen, pre-formed but unbaked dough made them into a fast food which can be freshly baked by unskilled labor. Indeed, the croissanterie was explicitly a French response to American-style fast food,[4] and today 30-40% of the croissants sold in French bakeries and patisseries are frozen.[5]
This innovation, along with the croissant's versatility and distinctive shape, has made it the best-known type of French pastry in much of the world.

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แก้ปวดฟันด้วยวิธีธรรมชาติ




อาการปวดฟัน (Toothaches) ส่วนใหญ่มีผลมาจากฟันผุ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะเสียวฟัน ก่อนที่อาการปวดจะลามไปที่บริเวณใต้คางและศีรษะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินของเย็น ของร้อน หรือของหวาน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปาก ปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน และชอนไชเข้าไปจนถึงเนื้อเยื่อส่วนที่นิ่มภายใน ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก บวกกับในโพรงประสาทฟันมีเนื้อที่จำกัด จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวม


เมื่อเกิดอาการบวม จะทำให้เส้นประสาทถูกกด รวมทั้งเกิดการปิดกั้นช่องทางเปิดปลายรากฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงฟันได้ จนทำให้เกิดอาการปวดฟันที่รุนแรง และในที่สุดเนื้อฟันก็จะตาย เมื่อถึงตอนนั้นอาการปวดก็จะหายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหนองบริเวณปลายรากฟันอาการปวดอาจกลับมาอีก แต่ลักษณะการปวดจะเป็นแบบตื้อๆ และสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น

นอกจากนี้ อาการปวดฟันอาจเกิดจากวัสดุอุดฟันหลุดไป ฟันร้าวหรือแตกจนถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน การนอนกัดฟัน (bruxism) ปวดเนื่องจากมีฟันคุด และเหงือกอักเสบ (gingivitis) ซึ่งจะทำให้เหงือกร่น และรากฟันบางส่วนโผล่ขึ้นมา ส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟันและปวดฟันได้ แต่บางคนที่มีสุขภาพฟันดี ก็อาจมีความไวมากเป็นพิเศษ ต่อของร้อนหรือของเย็นได้

วิธีลดอาการปวดฟัน

ถ้าคุณอยากหายทรมานจากอาการปวดฟันแล้วล่ะก็ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่ายๆ ต่อไปนี้ดูสิคะ

1. เมื่อมีอาการปวดฟัน ให้ประคบด้านข้างของใบหน้าซีกที่ปวดฟันด้วยน้ำอุ่น

2. ในกรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบๆ ที่อาจเกิดจากการติดเชื้อ ให้ประคบที่ด้านข้างของใบหน้าด้วยน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดทั้งอาการปวดและบวม

3. ถ้ามีอาการเสียวฟันง่าย ให้ใช้โซดาไฟ หรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันสูตรสำหรับแก้เสียวฟัน

4. เมื่อต้องอยู่ในที่ที่อากาศเย็น หรือในช่วงฤดูหนาว สามารถป้องกันอาการเสียวฟัน หรืออาการปวดฟันจากอากาศเย็นได้ โดยปิดปากด้วยผ้าพันคอ

5. เลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการ งดอาหารที่แข็งจนต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่ง ที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดฟันแรงๆ กับวัตถุแข็งๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน และในกรณีที่อุดฟัน ควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้สารที่อุดฟันไว้ หลุดออกมาง่ายขึ้น

นวดกดจุด ลดอาการปวด

หลายคนคงคุ้นเคยกับการนวดกดจุดตามร่างกาย ทั้งฝ่าเท้า ฝ่ามือ และศีรษะดีแล้วใช่ไหมคะ คราวนี้เราลองมานวดกดจุด เพื่อบรรเทาอาการปวดฟันกันดีกว่า


1. นวดคลึงเบาๆ ที่แก้มบริเวณเหนือฟันที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว

2. ใช้น้ำแข็งก้อนเล็กๆ กดและถูบริเวณง่ามมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หรือใช้มืออีกข้างนวดบริเวณเดียวกันนี้ จะช่วยลดอาการปวดฟันได้ชั่วคราว

3. สำหรับคนที่ปวดบริเวณกรามล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณกระดูกขากรรไกรที่รองรับฟันล่าง ส่วนคนที่ปวดบริเวณกรามบน ให้วางนิ้วหัวแม่มือตรงบริเวณส่วนกลางของหู แล้วลากนิ้วไปทางด้านหน้า จนกระทั่งถึงรอยบุ๋มใต้กระดูกประมาณ 1 นิ้วบริเวณหน้าใบหู จากนั้นกดแรงๆ ประมาณ 10 นาที

สมุนไพรบรรเทาปวด

บางคนพึ่งยาสารพัดชนิด ทั้งกิน ทั้งทา แต่พอหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการปวดฟันก็กลับมาสำแดงเดชอีกครั้ง ลองมาสยบอาการปวด ด้วยฤทธิ์ยาทางธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้ดีกว่าค่ะ

• ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณในการทำลายเชื้อโรค และสลายพิษ (Neutralization) ของเชื้อโรค โดยหั่นว่านหางจระเข้เป็นชิ้นๆ ความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เหน็บไว้ที่ซอกฟัน ใช้ฟันขบให้อยู่บริเวณที่ปวด หรือใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ ป้ายตรงบริเวณที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว
• น้ำมันละหุ่ง ทาน้ำมันละหุ่งบริเวณแก้มข้างที่ปวดฟัน และใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ หรือแผ่นประคบบริเวณที่มีอาการปวด จากนั้นนอนพักอย่างน้อย 20 นาที น้ำมันละหุ่งมีสรรพคุณในการระงับปวดได้ดี โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ที่ไปคั่งอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อ หรือกับสารที่ทำให้เกิดอาการปวด เช่น ไซโตไคเนส (cytokines) ในกรณีที่ปวดรากฟัน
• น้ำมันกานพลู มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดฟันได้ดีที่สุดชนิดหนึ่ง บางครั้งหมอฟันจะใช้น้ำมันกานพลูแทนยาที่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น Novocain โดยทาน้ำมันกานพลูบริเวณที่ปวดในช่องปากได้โดยตรง (หากน้ำมันกานพลูเข้มข้นเกินไป อาจทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำมันมะกอก) นอกจากนี้ อาจใช้วิธีอมกานพลูทั้งชิ้นไว้ในปากบริเวณที่ปวดก็ได้ จะทำให้รู้สึกชาอย่างรวดเร็ว และอยู่นานกว่า 90 นาที หรือนำดอกกานพลูมาทุบแช่น้ำเหล้าขาว แล้วใช้สำลีอุดฟันซี่ที่ปวด
• น้ำมันกระเทียม ใช้สำลีชุบน้ำมันกระเทียมทาบริเวณที่ปวดฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เหมือนกัน
• ดาวเรือง ใช้ดอกแห้งประมาณ 7-8 ดอก ต้มกับน้ำสะอาดในประมาณที่พอเหมาะ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรทั้งวัน เพื่อแก้อาการปวดฟัน
• ผักบุ้งนา นำรากสดของผักบุ้งนาประมาณ 10 กรัม ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำส้มสายชู อมไว้ประมาณ 5 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด
• มะระ นำรากสดของมะระมาตำพอแหลก แล้วพอกฟันซี่ที่ปวด โดยใช้ลิ้นกดไว้สักครู่ใหญ่ๆ
• กุยช่าย ในกรณีที่ปวดฟันเพราะแมงกิน ฟัน ให้นำเมล็ดกุยช่ายมาคั่วให้เกรียมดำ จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำมันยางแล้วชุบสำลี ยัดในฟันที่เป็นรูโพรง ทิ้งไว้ 1 คืน จะสามารถฆ่าตัวแมงที่กินฟันได้

Tip
• เมื่อใช้ยาสมุนไพรจนอาการปวดฟันบรรเทาแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์

• ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินบดอุดบริเวณฟันที่ปวด เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ที่เหงือก และเป็นอันตรายต่อเคลือบฟันได้

• ถ้ามีอาการปวดบวมเมื่อเคี้ยวอาหาร หรือเหงือกแดงผิดปกติ มีเลือดออก แสดงว่าติดเชื้อ หรือถ้าปวดฟันและมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

coco chanel









โกโก หรือ กาเบรียล ชาแนล (Gabrielle Bonheur "Coco" Chanel) (19 สิงหาคม พ.ศ. 2426-10 มกราคม พ.ศ. 2514[1]) เป็นนักออกแบบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและเครื่องประทินความงามชาวฝรั่งเศส เป็นตัวอย่างนักแฟชั่นในศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ก่อตั้งผลิตภัณฑ์ ชาแนล ของฝรั่งเศสเดิมชื่อ กาเบรียล บาน่า ชาแนล เมื่อเธอเริ่มโตเกิดปัญหาการเงินในครอบครัวเธอจึงต้องไปร้องเพลงในคาเฟ่เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ วันหนึ่งเธอร้องเพลง กิตาวู โกโก เป็นที่ถูกใจของผู้ฟัง และเรียกร้องให้เธอร้องอีกโดยตะโกนว่า"โกโก ชาแนล" ตั้งแต่บัดนั้นคนก็รู้จักเธอในนาม"โกโก ชาแนล" เธอเริ่มเปิดร้านขายหมวกในปารีสและเริ่มคิดค้นน้ำหอมทั้ง 10 กลิ่นโดยกลิ่นที่เธอชอบและเป็นกลิ่นที่ขายดีที่สุดคือ แชแนลนัมเบอร์ไฟว์ ชาแนลเป็นผู้ริเริ่มให้ผู้หญิงใส่กางเกงเป็นคนแรก และเธอก็คิดค้นสูทของผู้หญิงมีชื่อเรียกว่า ชาแนลสูท สัญลักษณ์ของ ชาแนล คือรูปดอกพุด สีขาว เพราะเป็นดอกไม้ที่ชาแนลชอบนำติดตัวไปในงานโชว์เสื้อของเธอโดยเธอมักจะนำมาทัดไว้ที่ผม

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Georges de La Tour




Georges de La Tour (March 13, 1593 – January 30, 1652), was a painter, who spent most of his working life in the Duchy of Lorraine, which was temporarily absorbed into France between 1641 and 1648. He painted mostly religious chiaroscuro scenes lit by candlelight. After centuries of posthumous obscurity, during the 20th century he became one of the most highly regarded of French 17th-century Baroque artists.




LifeGeorges de La Tour was born in the town of Vic-sur-Seille in the Diocese of Metz, which was technically part of the Holy Roman Empire, but had been ruled by France since 1552. Baptism documentation reveal that he was the son of Jean de La Tour, a baker, and Sybille de La Tour, née Molian. It has been suggested that Sybille came from a partly noble family.[1] His parents had seven children in all, with Georges being the second-born.




La Tour's educational background remains somewhat unclear, but it is assumed that he travelled either to Italy or the Netherlands early in his career. He may possibly have trained under Jacques Bellange in Nancy, the capital of Lorraine, although their styles are very different. His paintings reflect the Baroque naturalism of Caravaggio, but this probably reached him through the Dutch Caravaggisti of the Utrecht School and other Northern (French and Dutch) contemporaries. In particular, La Tour is often compared to the Dutch painter Hendrick Terbrugghen.[2]



In 1617 he married Diane Le Nerf, from a minor noble family, and in 1620 he established his studio in her quiet provincial home-town of Lunéville, part of the independent Duchy of Lorraine which was absorbed into France, during his lifetime, in 1641. He painted mainly religious and some genre scenes. He was given the title "Painter to the King" (of France) in 1638, and he also worked for the Dukes of Lorraine in 1623–4, but the local bourgeoisie provided his main market, and he achieved a certain affluence. He is not recorded in Lunéville in 1639–42, and may have travelled again; Anthony Blunt detected the influence of Gerrit van Honthorst in his paintings after this point. He was involved in a Franciscan-led religious revival in Lorraine, and over the course of his career he moved to painting almost entirely religious subjects, but in treatments with influence from genre painting.[2]
Georges de la Tour and his family died in 1652 in an epidemic in Lunéville. His son Étienne (born 1621) was his pupil

His early work shows influences from Caravaggio, probably via his Dutch followers, and the genre scenes of cheats—as in The Fortune Teller —and fighting beggars clearly derive from the Dutch Caravaggisti, and probably also his fellow-Lorrainer, Jacques Bellange. These are believed to date from relatively early in his career.




La Tour is best known for the nocturnal light effects which he developed much further than his artistic predecessors had done, and transferred their use in the genre subjects in the paintings of the Dutch Caravaggisti to religious painting in his. Unlike Caravaggio his religious paintings lack dramatic effects. He painted these in a second phase of his style, perhaps beginning in the 1640s, using chiaroscuro, careful geometrical compositions, and very simplified painting of forms. His work moves during his career towards greater simplicity and stillness—taking from Caravaggio very different qualities than Jusepe de Ribera and his Tenebrist followers did.[2]



He often painted several variations on the same subjects, and his surviving output is relatively small. His son Étienne was his pupil, and distinguishing between their work in versions of La Tour's compositions is difficult. The version of the Education of the Virgin, in the Frick Collection in New York is an example, as the Museum itself admits. Another group of paintings (example left), of great skill but claimed to be different in style to those of La Tour, have been attributed to an unknown "Hurdy-gurdy Master". All show older male figures (one group in Malibu includes a female), mostly solitary, either beggars or saints.[3]



After his death at Lunéville in 1652, La Tour's work was forgotten until rediscovered by Hermann Voss, a German scholar, in 1915; some of La Tour's work had in fact been confused with Vermeer, when the Dutch artist underwent his own rediscovery in the nineteenth century. In 1935 an exhibition in Paris began the revival in interest among a wider public. In the twentieth century a number of his works were identified once more, and forgers tried to help meet the new demand; many aspects of his œuvre remain controversial among art historians.





Works

His early work shows influences from Caravaggio, probably via his Dutch followers, and the genre scenes of cheats—as in The Fortune Teller —and fighting beggars clearly derive from the Dutch Caravaggisti, and probably also his fellow-Lorrainer, Jacques Bellange. These are believed to date from relatively early in his career.




La Tour is best known for the nocturnal light effects which he developed much further than his artistic predecessors had done, and transferred their use in the genre subjects in the paintings of the Dutch Caravaggisti to religious painting in his. Unlike Caravaggio his religious paintings lack dramatic effects. He painted these in a second phase of his style, perhaps beginning in the 1640s, using chiaroscuro, careful geometrical compositions, and very simplified painting of forms. His work moves during his career towards greater simplicity and stillness—taking from Caravaggio very different qualities than Jusepe de Ribera and his Tenebrist followers did.[2]



He often painted several variations on the same subjects, and his surviving output is relatively small. His son Étienne was his pupil, and distinguishing between their work in versions of La Tour's compositions is difficult. The version of the Education of the Virgin, in the Frick Collection in New York is an example, as the Museum itself admits. Another group of paintings (example left), of great skill but claimed to be different in style to those of La Tour, have been attributed to an unknown "Hurdy-gurdy Master". All show older male figures (one group in Malibu includes a female), mostly solitary, either beggars or saints.[3]



After his death at Lunéville in 1652, La Tour's work was forgotten until rediscovered by Hermann Voss, a German scholar, in 1915; some of La Tour's work had in fact been confused with Vermeer, when the Dutch artist underwent his own rediscovery in the nineteenth century. In 1935 an exhibition in Paris began the revival in interest among a wider public. In the twentieth century a number of his works were identified once more, and forgers tried to help meet the new demand; many aspects of his œuvre remain controversial among art historians.

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ช็อกโกแลต

ช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกเลต (Chocolate) คือผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลก




ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม "ช็อกโกแลต" หรือบางส่วนของโลกในนาม "โกโก้"

ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อแตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกา อุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้ว่า


โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้
เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้
ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของต้นโกโก้และเนยโกโก้
ช็อกโกแลตคือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของฝักถั่วโกโก้และเนยโกโก้ ซึ่งได้ผสมน้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ และถูกทำให้อยู่ในรูปของแท่งและรูปอื่น ๆ

เมล็ดของต้นโกโก้นอกจากทำเป็นช็อกโกแลตได้แล้วยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มช็อกโกแลตนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอัซเตก (Aztecs) หลังจากนั้นโดยชนเผ่าอินเดียนแดงและชาวยุโรป

บ่อยครั้งที่ช็อกโกแลตมักจะถูกทำให้อยู่ในรูปของสัตว์ต่าง ๆ คน หรือวัตถุในจินตนาการ เพื่อร่วมในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น รูปกระต่าย รูปทรงไข่ในเทศกาลอีสเตอร์ รูปของเหรียญหรือซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาส และรูปทรงหัวใจในเทศกาลวาเลนไทน์

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อริสโตเติล




อริสโตเติล (กรีก: Αριστοτέλης, Aristotelēs ; อังกฤษ: Aristotle) (พ.ศ. 160 (384 ก่อนค.ศ.) - 7 มีนาคม พ.ศ. 222 (322 ก่อนค.ศ.)) เป็นนักปรัชญากรีกโบราณ เป็นลูกศิษย์ของเพลโต และเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราช ท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่ง ในโลกตะวันตก ด้วยผลงานเขียนหนังสือเกี่ยวกับฟิสิกส์ กวีนิพนธ์ สัตววิทยา การเมือง การปกครอง จริยศาสตร์ และชีววิทยา


นักปรัชญากรีกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ อริสโตเติล, เพลโต (อาจารย์ของอริสโตเติล) และโสกราติส (ที่แนวคิดของเขานั้นมีอิทธิพลอย่างสูงกับเพลโต) พวกเขาได้เปลี่ยนโฉมหน้าของปรัชญากรีก สมัยก่อนโสกราติส จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของปรัชญาตะวันตกในลักษณะปัจจุบัน โสกราติสนั้นไม่ได้เขียนอะไรทิ้งไว้เลย ทั้งนี้เนื่องจากผลของแนวคิดปรากฏในบทสนทนาของเพลโตชื่อ เฟดรัส เราได้ศึกษาแนวคิดของเขาผ่านทางงานเขียนของเพลโตและนักเขียนคนอื่น ๆ ผลงานของเพลโตและอริสโตเติลเป็นแก่นของปรัชญาโบราณ


อริสโตเติลเป็นหนึ่งในไม่กี่บุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้ศึกษาแทบทุกสาขาวิชาที่มีในช่วงเวลาของเขา ในสาขาวิทยาศาสตร์ อริสโตเติลได้ศึกษา กายวิภาคศาสตร์, ดาราศาสตร์, วิทยาเอ็มบริโอ, ภูมิศาสตร์, ธรณีวิทยา, อุตุนิยมวิทยา, ฟิสิกส์,และ สัตววิทยา ในด้านปรัชญา อริสโตเติลเขียนเกี่ยวกับ สุนทรียศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, จริยศาสตร์, การปกครอง, อภิปรัชญา, การเมือง, จิตวิทยา, วาทศิลป์ และ เทววิทยา เขายังสนใจเกี่ยวกับ ศึกษาศาสตร์, ประเพณีต่างถิ่น, วรรณกรรม และ กวีนิพนธ์ ผลงานของเขาเมื่อรวบรวมเข้าด้วยกันแล้ว สามารถจัดว่าเป็นสารานุกรมของความรู้สมัยกรีก

     ประวัติอริสโตเติลเกิดเมื่อประมาณ 384 หรือ 383 ปีก่อนคริสตกาลที่เมืองสตากีรา (Stagira) ในแคว้นมาเซโดเนีย (Macedonia) ซึ่งเป็นแคว้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือสุดชองทะเลเอเจียน (Aegaeen Sea) ของประเทศกรีก เป็นบุตรชายของนายนิโคมาคัส (Nicomachus) ซึ่งมีอาชีพทางการแพทย์ประจำอยู่ที่เมืองสตาราเกีย และยังเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าอมินตัสที่ 2 (King Amyntas II) แห่งมาเซโดเนีย

ในวัยเด็กนั้นผู้ที่ให้การศึกษาแก่อริสโตเติลคือบิดาของเขานั้นเองซึ่งเน้นหนักไปในด้านธรรมชาติวิทยา เมื่อเขาอายุได้ 18 ปีก็ได้เดินทางไปศึกษาต่อกับปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุดนั้นคือ เพลโต ในกรุงเอเธนส์ (Athens) ในระหว่างการศึกษาอยู่กับเพลโต 20 ปีนั้นทำให้อริสโตเติลเป็นนักปราชญ์ที่ลือนามต่อมาจากเพลโต ต่อมาเมื่อเพลโตถึงแก่กรรมในปี 347 ปีก่อนคริสต์ศักราช อริสโตเติลจึงเดินทางไปรับตำแหน่งเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ในปี 343 - 342 ก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาในปี 336 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระเจ้าฟิลิป พระองค์จึงได้พระราชทานทุนให้แก่อริสโตเติลเพื่อจัดตั้งโรงเรียนที่สตากิราชื่อไลเซียม (Lyceum)
ในการทำการศึกษาและค้นคว้าของอริสโตเติลทำให้เขาเป็นผู้รอบรู้สรรพวิชา และได้เขียนหนังสือไว้มากมายประมาณ 400 - 1000 เล่ม ซึ่งงานต่าง ๆ ที่ได้เขียนขึ้นมานั้น ได้มีอิทธิพลต่อความเชื่อในศาสนาคริสต์จวบจนกระทั่งยุคกลางหรือยุคมืด ซึ่งมีเวลาประมาณ 1,500 ปีเป็นอย่างน้อย


     คำสอนคำสอนที่น่าสนใจของอริสโตเติลได้แก่ ความเชื่อที่ว่าโลกเรานี้ประกอบด้วยธาตุต่างๆ 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ
ในเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลนั้นอริสโตเติลเข้าใจว่า โลกเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีดวงดาวต่าง ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์โคจรรอบ ๆ สวรรค์นั้นอยู่นอกอวกาศ โลกอยู่ด้านล่างลงมา น้ำอยู่บนพื้นโลก ลมอยู่เหนือน้ำ และไฟอยู่เหนือลมอีกทีหนึ่ง ธาตุต่าง ๆ ของโลกจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ทว่าธาตุที่ประกอบเป็นสวรรค์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงจะมีรูปร่างเช่นนั้นตลอดไป ซึ่งคำสอนต่อมาในปี ค.ศ. 1609 โจฮันน์ เคปเลอร์ (Johann Kepler) ได้ตั้งกฏของเคปเลอร์ ซึ่งเป็นการประกาศว่า โลกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี เป็นการลบล้างความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของอริสโตเติล
และในอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ กรณีของวัตถุสองอย่างที่มีน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกลงถึงพื้นไม่พร้อมกันตามหลักของอริสโตเติล ซึ่งกาลิเลโอ ได้ทำการพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนที่หอเอนแห่งปิซาว่าเป็นคำสอนที่ไม่จริงในปี ค.ศ. 1600
แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของอริสโตเติลทางด้านชีววิทยานั้นเป็นที่ยกย่องกันมาก เพราะเขาได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของสัตว์ต่างๆ เช่น ปลา และพวกสัตว์เลื้อยคลานและได้ทำการบันทึกไว้อย่างละเอียดมาก เขาได้แบ่งสัตว์ออกเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกมีกระดูกสันหลัง (Vertebrates) และพวกไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates) นับว่าอริสโตเติลเป็นผู้บุกเบิกความรู้ทางด้านนี้จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประตูชัยฝรั่งเศส



ประตูชัยฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Arc de triomphe de l'Étoile) เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Étoile) อยู่ทางทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย


ประตูชัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์" (L'Axe historique) ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเมืองปารีส ประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดยฌอง ชาลแกร็งในปี พ.ศ. 2349 โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลังต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1

ประตูชัยฝรั่งเศสมีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต) เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน[1] แบบของประตูชัยฝรั่งเศสนี้ได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัส ประตูชัยฝรั่งเศสมีความใหญ่มาก เพราะหลังจากมีการสวนสนามในปรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2462 ชาร์ลส์ โกดฟรัว ได้ขับเครื่องบินนีอูปอร์ต (Nieuport) ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีเหล่าทหารอากาศที่ได้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1

วานิลลา


วานิลลา (อังกฤษ: Vanilla) เป็นกลิ่นที่ได้จากฝักของกล้วยไม้สกุล Vanilla ต้นกำเนิดจากเม็กซิโก ชื่อวานิลลามาจากคำในภาษาสเปนว่า "ไบย์นียา" (vainilla) ซึ่งแปลว่า ฝักเล็ก ๆ วานิลลามักถูกนำมาใช้แต่งกลิ่นในการทำอาหารประเภทของหวานและไอศกรีม


การใช้วานิลลาในการประกอบอาหารทำโดยกรีดฝักวานิลลาออกและขูดนำเอาเมล็ดในฝักไปใช้ประกอบอาหาร หรือนำทั้งฝักไปต้มน้ำและช้อนออก วานิลลาแท้มีราคาสูงมาก จึงทำให้มีการประดิษฐ์กลิ่นวานิลลาสังเคราะห์ที่ราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตามกลิ่นที่ได้จากวานิลลาสังเคราะห์มีความเข้มของกลิ่นไม่เท่ากับของจริง

ประเทศผู้ผลิตวานิลลาที่ใหญ่ที่สุดคือ มาดากัสการ์

10 อับดับน้ำหอมกลิ่นยอดนิยม


1. Dior Addict 2
น้ำหอมกลิ่นใหม่ที่บรรจงสร้างสรรค์ เพื่อสะท้อนนิยามธรรมชาติแห่งหญิง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นคุณ โปรยเสน่ห์น้ำหอมแห่งความแรงร้ายใหม่จาก Dior Addict เผยปริศนาในธรรมชาติที่ยากหยั่งรู้ และเข้าใจในความเป็นหญิง ด้วยเสน่ห์หอมของกลิ่น Mandarin Leaf และ Silk Tree Flower ที่เป็นดั่งเสียงกระซิบแรกแห่งความสดชื่น และเผยหัวใจของ Dior addict ด้วยโทนกลิ่น Vanilla ของราชินีแห่งรัตติกาล หรือดอก Queen of the Night ดอกไม้หายากที่พบได้เพียงในประเทศจาไมก้า และเบ่งบานเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ท่ามกลางความเร้าร้อน ยั่วยวนของกลิ่น Orange Blossom ที่อบอวลแผ่ผ่านความรู้สึกให้ตราตรึง ตราบนานในความทรงจำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
- Eau de Parfume 50 ml. ราคา: 2,700 บาท
- Eau de Parfume 100 ml. ราคา: 3,750 บาท


2. Tommy Hilfiger
สำหรับผู้ชายทันสมัย TRUE STAR MEN ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ จากนักร้องชื่อดัง Enrique Iglesias ( เอ็นริเก้ อิเกลเซียส ) ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ชายร่วมสมัย เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ เท่ห์ มีเสน่ห์ ดึงดูดทั้งผู้ชาย และผู้หญิงทั่วโลกด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง และสบายๆEnrique เป็นแรงบันดาลใจให้มีการสร้างสรรค์น้ำหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่น และมีชีวิตชีวา นอกจากนี้กลิ่นหอมต่างๆ ที่ให้ความอบอุ่นยังช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกมีอารมณ์ผ่อนคลาย น้ำหอมนี้ทำให้ผู้ชายรู้สึกนำสมัยและสบายๆ สามารถใช้ได้ทุกโอกาส TRUE STAR MEN น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ ของพันธุ์ไม้เครื่องเทศ (Soft-Spiced Wood) ที่ให้ความพึงพอใจชวนสัมผัส, สร้างความเย้ายวนและชวนสัมผัสตลอดเวลา ความทันสมัย และความอบอุ่นสร้างรสนิยมแบบใหม่ที่เรียบง่ายสบายๆ สัมผัสแรก Enticing Captivity Accord ด้วยกลิ่นหอมของ Citrus ผลไม้ตระกูลที่มีรสเปรี้ยว ที่มอบความสดชื่น เสริมด้วยกลิ่นของ anise (ยี่หร่า) ที่ให้ความรู้สึกเย็น ผสานด้วยกลิ่น licorice (ชะเอม) ที่ให้ความเย็นสร้างความตื่นเต้นและลุ่มลึก สัมผัสต่อมา Caressing Softness Accord กลิ่นหอมของ Orris (ดอกออริส) และ Cascarilla (คัสคาริลลา) ทำให้กลิ่นของพืชสีเขียวอันชุ่มฉ่ำกลายเป็นความสง่างาม ที่ซ่อนเร้นผสานกลิ่นหอมของ Rice (ข้าว) ให้สัมผัสที่นุ่มนวล สัมผัสท้ายสุด Seductive Addictive Accrod กลิ่นหอมที่ผสมผสานกันระหว่างหญ้าฝรั่นกับไม้เนื้ออ่อนเติมด้วยกลิ่นหอมของวนิลา ให้ความรู้สึกเย้ายวนชวนดมตลอดเวลา กลายเป็นกลิ่นหอมที่มีลักษณะเด่นไม่เหมือนใครสำหรับคุณผู้ชาย
- TRUE STAR EAU DE TOILTTE 50 ML ราคา 1,850 บาท
- TRUE STAR EAU DE TOILTTE 100 ML ราคา 2,550 บาท


3. Hypnose By Lancome
มนต์สะกดจากหญิงสาว
ถ้าจะมีกลิ่นน้ำหอมที่เหมือนจะสะกดผู้คนรอบข้างให้ตะลึงในความเป็นหญิง คงไม่มีหญิงสาวคนไหน ปฏิเสธได้ Hypnose จาก Lancome
น้ำหอมเปล่งประกายเจิดจรัสในขวดสีม่วงพร้อมรูปทรงโค้งเว้าหลากเหลี่ยม ให้กลิ่นชวนค้นหาของวานิลลาที่อบอุ่น เวติแวร์ที่ช่างเย้ายวน กรุ่นกลิ่นไม้หอมของตะวันออก อย่างดอกเสาวรส และหญ้าแฝก ให้ความตรึงใจด้วยความเป็นผู้หญิงของคุณ
- Hypnose Eau de Toilette 30 ml. ราคา 1800 บาท
- Hypnose Eau de Toilette 50 ml. ราคา 2500 บาท



4. POLO Black
ผู้ชายโปโลแบล็คเป็นหนุ่มชาวเมืองเต็มตัว และเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด โปโลแบล็ค เป็นน้ำหอมที่จะเผยความเซ็กซี่ ความหนุ่มแน่น เท่ และฮิพของพวกเขาออกมา” บรรจุภัณฑ์ขวดน้ำหอมโปโลแบล็คเรียบโก้ และเซ็กซี่ทำจากแก้วเนื้อดีสีดำทรงเหลี่ยมดูองอาจ เช่นเดียวกับความมาดมั่น และทรงอำนาจของหนุ่มๆ ผู้ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้ที่ทั้งเข้มแข็ง และทันสมัยได้รับแรงบันดาลใจจากแบบขวดน้ำหอมโปโล ปรับเพิ่มฝาเงิน และขยายตราสัญลักษณ์โปโลโพนีสีเงินให้ใหญ่ขึ้น กล่องน้ำหอมสะท้อนความเซ็กซี่เช่นกัน ด้วยสีดำวาวและประดับตราสัญลักษณ์โปโลโพนีสีเงินแบบใหม่ที่เด่นมีขนาดใหญ่ขึ้น ชัดเจนและร่วมสมัย
ชุดผลิตภัณฑ์
สเปรย์น้ำหอมผสานกลิ่นไอซ์แมงโก้ ซิลเวอร์อาร์มัวซ์ และพัทชูลี่ดำ ให้ความรู้สึกทันสมัย ท้าทาย ช่ำชอง
- POLOBLACK Eau de Toilette Spray ขนาด 2.5 ออนซ์/75 มล. 2,300 บาท
- POLOBLACK Eau de Toilette Spray ขนาด 4.2 ออนซ์ /125 มล. 3,300 บาท

5.Armani code donna
จากแรงบันดาลใจของฉากตรึงตในหนังฮอลลีวู๊ด เรื่องราวของการพบกันการปรายตามอง โค้งเว้าแห่งสรีระมาเป็น Armani code donna (75 ml ราคา3200 บาท) น้ำหอมเปี่ยมเสน่ห์ในขวดเพรียวลายดอกไม้ตะวันออกกลิ่นหอมลึกลับเผยกลิ่นแท้ของความเป็นผู้หญิงในมุมมองของดีไซเนอร์ ระดับโลก จิออร์จิโอ อาร์มานี่ เริ่มต้น น้ำหอมสีน้ำเงินซฟไฟร์ด้วยกลิ่นดอกส้ม กลิ่นหอมของเกสรดอกไม้ มะลิ แซมบัคจากอินเดีย สุดแสนจะเป็นผู้หญิง และสุดโก้หรู นี่คือความหอมหวานรวยริน ผสานกลิ่นวนิลาจากมาดากัสการ์ และกลิ่นน้ำผึ้ง จนไม่มีใครลืมลง


6. J’adore eau de perfume
จากสีเหลืองทองของ J’adore eau de perfume สู่สีขาวทองของ J’adore eau de toilette ใหม่ล่าสุดจากแนวกลิ่น Fruite Floral หรือผลไม้-ดอกไม้อันอุดมเข้มข้น สู่แนวกลิ่น Fresh Floral หรือดอกไม้หอมสดชื่นอันเพริศพราย
น้ำหอมใหม่ล่าสุดจากแนวกลิ่น Fruity Floral หรือผลไม้อันอุดมเข้มข้น สู่แนวกลิ่น Fresh Floral หรือดอกไม้หอมสดชื่น ยังคงทรงเสน่ห์สุดห้ามใจต้านตั้งแต่แรกพบ ด้วยช่อดอก Peony เต็มอ้อมแขนที่หอมละมุน สู่สัมผัสแห่งความเลอเลิศ ด้วยดอก Champaca ยามพร่างพรมลงสู่ผิว จับใจไปกับความสดชื่นโดยแท้ของ White Violet หอมหวานเป็นผู้หญิง กับแนวกลิ่นเจิดจรัสของ Star Magnolia ท้ายสุด ต้องยอมจำนนต่อสัมผัสอ่อนละมุนของ Amaranth Wood, Muscat และแย้มยิ้มเคลิ้มกับกลิ่นสดชื่นของ Damson ซาบซ่าน เบาหวิว แฝงนัยให้อิ่มเอม


7. DKNY Red Delicious
ใหม่สุดจากนิวยอร์ก ความหอมเร้าใจจากความตื่นเต้นแห่งรักในเมืองใหญ่ สำหรับหญิงสาว ความเย้ายวนจากกลิ่นแชมเปญ ผสมผสานกับกลิ่นลิ้นจี่ คละเคล้ากลิ่นราสพ์เบอร์รี่ และ แอปเปิ้ลแดงสุดต้องห้าม แปรไปสู่กลิ่นกุหลาบและไวโอเล็ตชุ่มน้ำ เร้ารุมด้วยกลิ่นวานิลลา และพัทชูลี ที่มาเติมความอบอุ่นลงท้ายที่กลิ่นอำพันกับกลิ่นผิวยั่วใจ สำหรับชายหนุ่ม เป็นความลุ่มหลงและทะเยอทะยานกับกลิ่นแบบเครื่องเทศ ผสมกลิ่นสดชื่นของมะกรูดและส้มจีน กลิ่นค็อกเทลและกลิ่นกาแฟ เหล้าที่หมักด้วยแอปเปิ้ลสุดฉ่ำ ว้อดก้าและวานิลลาทรงเสน่ห์ กลิ่นดอกดาวานาที่เข้มแข็ง จบที่กลิ่นไม้หอม มอส และพัทชูลี ที่จะทอดเวลารักให้ยาวนานข้ามคืน (50ml 2200 บาท 100ml 3150 บาท men 50ml 1850 บาท 100 ml 2600 บาท) - น้ำหอม perfume Red Delicious Women by DKNY 100ML


8. CK one
น้ำหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง Calvin Klein ซึ่งผสมผสานไปด้วยกลิ่นของผลไม้หลากหลายชนิด อย่าง ส้ม, องุ่น, แตงโม นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมธรรมชาติจาก ขิง มิ้นท์ ดอกไม้ นานาพรรณ ดอกดาวเรือง, sun-bleached wood, vanilla, violet and guaiac wood

9. Burberry
พบกับความหอมตามแบบฉบับของสาวลอนดอน Burberry น้ำหอมจากอังกฤษ ด้วยกลิ่นหอมจากดอก Clementine Honeysuckle และ Rose บรรจุในขวดดีไซน์เก๋ด้วยผ้าทอลาย Check ของ Burberry มี 2 ขนาด
- 50 ml. ราคา 2600 บาท
- 100 ml. ราคา 3700 บาท

10. Lovely Sarah Jessica Parker
อ่อนหวาน แสนน่ารัก นี่คือหญิงสาวผู้เป็นแรงบันดาลใจ Lovely Sarah Jessica Parker แนะนำน้ำหอมใหม่ล่าสุด สะท้อนความคลาสสิกของแฟชั่น อมตะ ไร้กาลเวลา โดดเด่น ไม่ซ้ำแบบใคร ทันสมัยและเปี่ยมรสนิยม พราวความหอมสดชื่น จาก ส้มแมนดาริน เบอร์กาม็อต และไม้หอม Pearwood ความหอมของพัตชูลี และเย้ายวนด้วย Sensuous Cedar
- Lovely Sarah Jessica Parker Eau de parfum spray 30 ml 1800 บาท
- Lovely Sarah Jessica Parker Eau de parfum spray 50 ml 2500 บาท
- Lovely Sarah Jessica Parker Eau de parfum spray 100 ml 3300 บาท

เคยรู้มั้ย...น้ำหอมมีความเป็นมายังไง? history
เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน" ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไปในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า
แต่ก้าวสำคัญในประวัติศสาตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการ กลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง

ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง
ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆก็ในศตรวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตรวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน Ingredients-กลิ่นน้ำหอมผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของนํ้าหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น มักจะมาจากดอกไม้ แต่น่าประหลาดใจมาก ส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้น เราก็นำมาใช้ทำนํ้าหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และ ยางไม้ นอกจากส่วนต่างๆที่กล่าวมานี้นั้น
เรามาทำความรูจักกับชนิดของต้นไม้ ที่คนปรุงนํ้าหอมเขานำมาใช้ใน การทำนํ้าหอม ที่นิยมนำมาใช้มากในอันดับต้นๆ ดังนี้
- Balsam : เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง Balsam ที่นิยมในแวดวง การผลิตเครื่องหอม ในปัจจุบันเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ Balsam จากประเทศ เปรู
- Bergamot : ก็คือ ต้นมะกูดนั่นเอง ส่วนของมะกูดที่ใช้สกัด ทำมํ้าหอมก็คือ บริเวณเปลือก ของลูกมะกูดนั่นเอง กิ่นหอมที่สกัดจากผิวของลูกมะกูดนี้ส่วนใหญ่ จะนำไปใช้ใน นํ้าหอมสำหรับผู้หญิง
- Frankincense :เป็นยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia เจ้าต้น Boswellia เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก ที่เจริญเติบโตทางตอนใต้ของ Arabia และ Somalia ซึ่งยางไม้ชนิดนี้ เป็นส่วนสำคัญมาก ในการทำเครื่องหอม สมัยอณาจักรโรมันโบราณ ในปัจจุบันเราใช้ Frankincense เป็นส่วนผสมของ นํ้าหอมสมัยใหม่ถึง 13%
- Galbanum :เป็นยางไม้ของ ต้นยี่หร่า จากประเทศ Iran เจ้า Galbanum จะมีกลิ่นหอม ออกไปทาง Spicy
- Jasmine : ต้นมะลิใช้เป็นส่วนผสมหลัก ของนํ้าหอมในปัจจุบันมากกว่า 80 % เป็นรองก็ แค่ดอกกุหลาบ พันธุ์ของมะลิที่นิยมใช้ในการทำนํ้หอมก็คือ มะลิจากประเทศสเปน หรือที่เรียกกันว่า Royal Jasmine ซึ่งใช้มากที่สุดในยุโรป มาตั้งแต่ศตรวรรษที่ 16 แล้ว Royal Jasmine นี้จะเป็น ส่วนผสม ในการทำนํ้าหอม ที่แพงที่สุด เพราะว่า จากมะลิ 500 ปอนด์ จะกลั่นออกมาใช้ทำนํ้าหอม ได้แค่เพียง 0.1 % เท่านั้น
- Labdanum : เป็นหยดเล็กๆ ของยางไม้จากใบของต้น Cistus ที่ขึ้นอยู่ ในตะวันออกกลาง เราใช้ยางไม้ชนิดนี้ถึง 33% ในการทำนํ้าหอมในปัจจุบัน
- Lavender : เป็นส่วนผสมหลัก ในการทำนํ้าหอมมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัย กรีก - โรมัน โบราณ ครั้งหนึ่งในประเทศ ฝรั่งเศส เคยปลูกต้น Lavender นี้ถึง 5,000 ตัน ต่อปีมาแล้ว
- Lemon : ผิวของผลมะนาว เป็นส่วนผสมที่จำเป็น ในการทำนํ้าหอม ที่ต้องการให้ได้กลิ่นหอม ที่สดชื่น สดใส มีชีวิตชีวา
- Lily of the Valley : ในช่วงเริ่มแรกของการทำนํ้าหอมนั้น เราได้ กลิ่นหอมของดอก Lily โดยการใส่ดอก lily ลงไปในนํ้ามัน แต่ในปัจจุบัน เราใช้กรรมวิธีที่ทันสมัย โดยการสกัดเอากลิ่นหอมของ lily ออกมา ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราใช้ lily เป็นส่วนผสมในการทำนํ้าหอม ประมาณ 14 % ในปัจจุบัน
- Myrrh : เป็นยางไม้จากต้น Myrrh ซึ่งพบได้ใน Arabia, Somalia และ Ethiopia ในสมัยโบราณ เขาใช้ยางไม้ชนิดนี้ทำเป็นยาสมุนไพร และ ใช้ทำ นํ้ายา ดองศพ แต่ในปัจจุบัน นักปรุงนํ้าหอมบอกว่า คุณสมบัติที่เด่นของ Myrrh นี้คือ มันเป็นตัวช่วยให้ กลิ่นของนํ้าหอม ติดร่าางกายทนนานยิ่งขึ้น เพราะมันมีสารที่ทำให้ นํ้าหอม ระเหยไปในอากาศ ช้าลงนั่นเอง
- Neroli : ได้จากการกลั่น จากดอกของต้นส้ม ชื่อ Neroli นี้ได้มาจากในช่วง หลังศตรววรษที่ 16 โดยภรรยาของ เจ้าชายของ อิตาลีคนหนึ่ง ใช้ Neroli ผสมในนํ้า ที่เธออาบ ทำให้กลิ่นหอม นี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่จริงๆแล้ว Neroli เข้ามาในยุโรปนานแล้ว ตั้งแต่ศตรวรรษที่ 12 โดยชาว อาหรับเป้นผู้นำเข้ามา ในปัจจุบันใช้เป้นส่วนผสม ในการทำนํ้าหอมถึง 12%
- Oak Moss : เป็น Lichen ที่อยู่ตาม ต้นโอ๊ก ต้นสน และต้นไม้อื่นๆ ในแถบเถือกเขา ทางเหนือ ของแอฟริกา และ ยุโรป เราใช้ oak moss เป็นตัวที่ยึด กลิ่นหอมของนํ้าหอมไว้ ไม่ให้ระเหยไปเร็ว


วิธีการเลือกน้ำหอมให้เข้ากับตัวเอง? Choosing and Using

<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><> ในการเลือกซื้อและเลือกใช้นํ้าหอมได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับ บุคลิกภาพของเรานั้น และเหนือสิ่งอื่นใด ทำอย่างไรคุณถึงจะได้นํ้าหอม ที่ไม่ใช่ของปลอมมาใช้ หรือพูดง่ายๆก็คือไม่ถูกคนหลอกนั่นเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเลยทีเดียว ในการที่เราจะ เลือกนํ้าหอมได้ถูกต้องนั้น เราก็ต้องทำความรู้จัก กับนํ้าหอม กันก่อน นํ้าหอมนั้นเป็นผลของส่วนผสมหลัก 2 อย่างนั่นก็คือ นํ้ามันหอม (Fragrant Oils) ที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วย แอลกอฮอล์ (Alcohol) ในระดับความเข้มข้นของความหอมที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วย แอลกอฮอล์ นี้ จะมีระดับความเข้มข้นที่ต่างกันไป เราจึงแบ่งนํ้าหอมออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ ตามระดับความเข้มข้นของกลิ่นหอมได้ดังนี้
- Eau de Parfum คือนํ้าหอม ที่มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ในสัดส่วนที่ 15-18 %
- Eau de Toilette คือนํ้าหอม ที่มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ในสัดส่วนท 4-8 %
- Eau de Cologne คือนํ้าหอม ที่มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ในสัดส่วนท 3-5 %
นํ้าหอมที่วางขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่นั้น จะเป็น Eau de Parfum และ Eau de Toilette แต่ที่นิยมใช้กันนั้นจะเป็น Eau de Toilette เสียมากกว่า ซึ่งความหอมระดับนี้จะมาเป็น ส่วนประกอบในสินค้าอื่นๆ นอกจาก นํ้าหอมด้วย เช่น โลชั่นทาผิว, สบู่, โฟมอาบนํ้า และอีกมากมาย มีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่ยากที่จะตอบมากนั่นก็คือ คำถามที่ว่า เราจะหา ซื้อนํ้าหอมจากที่ไหนถึงจะดีที่สุด ?

ซึ่งในปัจจุบันนี้คุณสามารถหาซื้อนํ้าหอม ได้จากหลายแห่งด้วยกัน หรือแม้แต่จะสั่งซื้อผ่านทาง Internet อย่างเช่น ที่ PerfumeLover แห่งนี้คุณก็สามารถเลือก Shopping นํ้าหอมที่คุณชอบได้ เช่นกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงเสมอ ในการเลือกซื้อนํ้าหอมก็คือ คุณจะมั่นใจ ได้อย่างไรว่า นํ้าหอมที่คุณซื้อมานั้นคือ "ของจริง" ไม่ใช่ของที่ทำ เลียนแบบ หรือ "ของปลอม" นั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนํ้าหอมบอกว่า เป็นการยากมากกับการที่เขาจะแนะนำ นํ้าหอมให้กับใครคนใดคนหนึ่ง เพราะแต่ละคนก็จะมี Style และรสนิยมที่ แตกต่างกันออกไป ซึ่งถือได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ระเอียดอ่อนมาก เลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อคุณจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกซื้อนํ้าหอมตามสถานที่ต่างๆ คุณจำเป็นต้องมีความรู้ใน การเลือกซื้อ ซึ่งก็มีวิธีการเรื่องที่เป็นเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาฝากดังนี้

เวลาที่คุณไปเลือกซื้อนํ้าหอมนั้น ก่อนการเลือกซื้อถ้าเป็นไปได้ เราไม่ควร ที่จะรับประทานอาหารที่มีรสจัด, ไม่ควรออกกำลังกายที่ทำให้เกิดความ เหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไป ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันจะส่งผลต่อ กับรับรู้กลิ่น นํ้าหอมให้ผิดเพี้ยนไป และ นอกจากนี้ เรายังไม่ควรไปเลือกซื้อนํ้าหอม ในช่วง ที่เราเพิ่งจะฟื้นจากอาการเจ็บป่วย หรือไม่สบาย หรือ เพิ่งสูบบุหรี่เสร็จ เพราะ การกระทำ เช่นนี้ ก็จะมีผลต่อ การรับรู้กลิ่นนํ้า ทำให้กลิ่นนํ้าหอมที่เราสัมผัส พลิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงด้วยเช่นกัน

ในส่วนของเวลาที่เรา ทดลองนํ้าหอม ที่เราไปเลือกซื้อนั้น จุดทดีที่สุด ของร่างกาย ที่เราทดลองฉีดนํ้าหอมนั้น ก็คือตรงบริเวณ "ข้อมือ" นั่นเอง ในกรณีที่เราทดลอง นํ้าหอมมากกว่าหนึ่งกลิ่น เราก็ควรใช้ข้อมืออีกข้างหนึ่ง และถ้าเราทดลองนํ้าหอมมากกว่า 2 กลิ่นนั้น บริเวฯที่เราควรฉีดนํ้าหอม ลงไปก็คือ บริเวณแขนที่ไล่ จากข้อมือของเรา ขึ้นไปเรื่อยๆนั่นเอง เมื่อเราฉีด นํ้าหอมไปในบริเวณ ที่เราแนะนำไปแล้วนั้น เราไม่ควรที่จะตัดสินใจเลือกซื้อ นํ้าหอมจากกลิ่นที่เราได้สัมผัส ณ. เวลานั้นเลย เราควรทิ้งไวอย่างน้อยที่สุด ประมาณ 20 นาที ถ้าเป็นไปได้ควรจะประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงตัดสินใจ เลือกซื้อ

แต่ในปัจจุบัน นํ้าหอมแต่ละยี่ห้อนั้นได้ทำ Blotting paper ให้เราได้ทดลองกลิ่นนํ้าหอม แต่วิธีนี้ มันดีสำหรับในการรับรู้กลิ่นในสัมผัสแรกนั้น และดีสำหรับการทดลองกลิ่นนํ้าหอมหลายๆกลิ่น ในเวลาเดียวกัน แต่วิธีนี้จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเท่ากับ การที่คุณทดลองนํ้าหอมด้วยผิวหนังของคุณเอง
วิธีการใช้นํ้าหอมนั้นเราควรจะฉีดนํ้าหอมในส่วนต่างๆ ของร่างกายดังนี้ เพื่อให้นํ้าหอมนั้น ได้ทำหน้าที่ในการส่งกลิ่นหอมให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เราควรฉีดนํ้าหอมตรง ชีพจร, ข้อมือ, กระดูกไหปลาร้า, สะดือ, หรือแม้แต่บริเวณข้อพับขา ของเราเอง เราไม่ควรฉีดนํ้าหอมตรงบริเวณ ด้านหลังใบหูเพราะตรงบริเวณนี้กลิ่นนํ้าหอมและแอลกลอฮอล์จะระเหย ไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง บางคนก็จะฉีดนํ้าหอมหลังจากเราอาบนํ้า เสร็จใหม่ๆ ในขณะที่ผิวกำลังมีความชื้นอยู่ ซึ่งวิธีนี้ก็จะทำให้ กลิ่นนํ้าหอมนั้น ติดทนนานมากยิ่งขึ้น ในบางคนก็แนะนำให้ใส่นํ้าหอม ลงไปผสมในนํ้าสุดท้ายที่ เราใช้ซักชุดชั้นใน เพื่อที่จะให้กลิ่นนํ้าหอม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเลยทีเดียว

ในเรื่องของการเก็บรักษานํ้าหอมนั้น เราควรรับรู้ไว้ว่านํ้าหอมจะ ได้รับผลและเกิดปฏิกริยาโดยตรงกับ อากาศ, ความร้อน, แสง ดังนั้น เราควรที่จะเก็นขวดนํ้าหอมของคุณ ไว้ในสถานที่ ที่มีความเย็น มืด ซึ่งการเก็บนํ้าหอมตามวิธีนี้นั้น คุณจะสามารถเก็นรักษานํ้าหอมของคุณ ได้นานถึง 20 เลยทีเดียว โดยที่กลิ่นของนํ้าหอมก็จะไม่เปลี่ยนไป ถ้าคุณเก็บนํ้าหอมไม่ถูกวิธี นํ้าหอมของคุณก็จะเสื่อมลง และก็จะกายเป็น กรดไปในที่สุดนั่นเอง


สร้างเสน่ห์ด้วย...น้ำหอม
กลิ่นหอมเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่สามารถครอบงำอารมณ์ความรู้สึกและจิตใจมนุษย์เราได้ในสมัยโบราณกรรมวิธีในการผลิตน้ำหอมและเครื่องหอมต่าง ๆ ถูกเก็บไว้เป็นความลับที่รู้กันเฉพาะในชนชันสูง ซึ่งคนธรรมดาสามัญไม่มีโอกาสจะเรียนรู้ได้ ถือกันว่าเป็นศาสตร์ลี้ลับที่ใช้ในการสร้างเสน่ห์ของหญิงสาว

ปัจจุบันผู้หญิงและผู้ชายใช้น้ำหอมกันเป็นประจำทุกวัน กลิ่นที่ถูกผลิตออกมาก็มีความหลากหลายกว่าสมัยโบราณ น้ำหอมกลายเป็นอุตสาหกรรมวิธีการทำน้ำหอมเป็นที่เปิดเผยกันทั่วไปไม่ได้เป็นเรื่องของศาสตร์ลึกลับอีกแล้ว คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้เช่นเดียวกับคนระดับสูง

การเลือกน้ำหอมให้เข้ากับตัวเราเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพราะถ้าเลือกผิดแล้วแทนที่จะสร้างเสน่ห์ให้กลับทำลายเสน่ห์ของเราจนสิ้น เราจึงมีเกร็ดความรู้ในการเลือกซื้อและเลือกใช้น้ำหอมมาฝาก

น้ำหอมในปัจจุบันมีกลิ่นหลากหลายไม่ว่าจะเป็นกลิ่นผู้หญิง ผู้ชาย กลิ่นวัยรุ่น วัยสาว วัยผู้ใหญ่ จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับเพศและวัยตนเอง

น้ำหอมที่ต่างกลิ่นกันก็เหมาะกับแต่ละโอกาสหรืออารมณ์ เช่น น้ำหอมกลิ่นหนึ่งอาจเหมาะกับเวลากลางวัน และอีกกลิ่นหนึ่งอาจเหมาะกับเวลากลางคืน หรือน้ำหอมที่มีกลิ่นอ่อน ๆ ก็เหมาะที่จะใช้ในหน้าร้อนส่วนหน้าหนาวก็ควรใช้น้ำหอมที่มีกลิ่นแรงมากขึ้น
การจะรับรู้ได้ว่ากลิ่นหอมนั้นๆ เหมาะกับตัวเราและเราชอบมันจริงหรือไม่นั้น อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง ฉะนั้น ควรเลือกซื้อน้ำหอมขวดเล็กไปลองใช้ก่อนถ้ามั่นใจแล้วจึงค่อยกลับมาซื้อขวดใหญ่อีกที

ปกติระดับกลิ่นของน้ำหอมจะไม่คงที่แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนระดับของกลิ่นไปเรื่อยตามกาลเวลา กลิ่นของน้ำหอมมี 3 ระดับ กลิ่นแรก กลิ่นกลาง และกลิ่นพื้นฐาน
เมื่อฉีดน้ำหอมครั้งแรก กลิ่นที่จะได้รับจะมีลักษณะหอมสดชื่นและบางเบา กลิ่นแรกนี้จะอยู่ได้ประมาณ 15 นาที และจางหายไปอย่างรวดเร็ว
กลิ่นต่อไปคือ กลิ่นกลาง ที่ถือว่าเป็นหัวใจของน้ำหอมเป็นช่วงที่กลิ่นจะกระจายตัวอย่างเต็มที่บนผิวกาย จะคงอยู่ประมาณ 2-4 ชั่วโมง
กลิ่นสุดท้าย คือ กลิ่นพื้นฐาน ซึ่งเป็นกลิ่นเข้มข้นที่สุดที่เหลืออยู่ ซึ่งจะแสดงกลิ่นเมื่อเวลาผ่านไป ประมาณ 4-6 ชั่วโมง และค่อย ๆ จางหายไปในที่สุด

ควรเก็บน้ำหอมในที่แห้ง มืดและเย็น น้ำหอมจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต

ในการทดลองกลิ่นน้ำหอมขณะซื้อ เมื่อฉีดแล้วควรรอสัก 2-3 นาที เพื่อให้กลิ่นของน้ำหอมผสมกลมกลืนกับกลิ่นกาย จนสมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียว เพื่อคุณจะได้รู้ว่าน้ำหอมกลิ่นนั้น เหมาะกับตัวคุณจริงหรือไม่ และควรลองเพียง 2-3 กลิ่นก็พอเพราะถ้าลองมากไปกลิ่นจะตีกันจนแยกไม่ออกแล้วคุณก็อาจสับสนจนไม่สามารถเลือกน้ำหอมได้ถูกใจ

ถ้าคุณมีผิวที่แพ้น้ำหอมให้ฉีดน้ำหอมลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าแทนที่จะฉีดลงบนผิวตรงๆ
ไม่ควรใช้มือหรือนิ้วถูน้ำหอมให้ซึมเข้าไปในผิวเพราะจะทำให้น้ำหอม "ช้ำ" ทางที่ดีควรฉีดน้ำหอมลงบนผิวแล้วปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติจะดีกว่า
บางครั้งคุณอาจลองคิดวิธีใช้น้ำหอมให้สร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นบ้างก็ได้ เช่น ฉีดลงบนกระดาษจดหมายก่อนพับใส่ซอง ฉีดพรมบนผ้าปูที่นอนก่อนเข้านอน ฉีดที่เทียนไขก่อนจุด เป็นต้น

น้ำหอมจะระเหยได้ดีบนผิวเนื้อที่อุ่นและมีการหมุนเวียนโลหิตดี ดังนั้นจุดที่จะช่วยเร่งให้น้ำหอมส่งกลิ่นหอมได้มากและได้นานก็คือบรรดาจุดชีพจรของเรานี่เอง เพราะในทุกจังหวะที่ชีพจรเต้นก็จะทำหน้าที่ทางอ้อมช่วยกระตุ้นให้กลิ่นหอมกระจายออกมาอย่างเป็นจังหวะต่อเนื่อง ฉะนั้น จึงควรฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร เช่น ด้านในข้อมือ ข้อศอก ข้อพับ ใต้ติ่งหู

น้ำหอมส่วนใหญ่มักจะคงอยู่ได้นานกว่าผิวแห้ง หากต้องการให้กลิ่นหอมติดทนนานบนผิวกายควรฉีดพรมน้ำหอมหลังทาโลชั่นบำรุงผิว แต่ไม่ว่าอย่างไรการฉีดน้ำหอมเพียงครั้งเดียวก็ไม่สามารถทำให้กลิ่นอยู่ได้นานตลอดวัน ดังนั้น หากต้องการให้กลิ่นหอมอยู่ทนบนผิวกายตลอดวันควรฉีดน้ำหอมวันละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย

จุดสำคัญในร่างกายที่ควรได้รับการฉีดพรมด้วยน้ำหอมมีดังนี้ ขมับทั้ง 2 ข้าง บริเวณร่องอก ข้อพับแขน ข้อมือ ข้อพับขา ด้านหน้าของตาตุ่ม และกระดูกหน้าขา